วายร้าย...ในสายงาน ตอน.........Start……
ปุริมภัทรสาวน้อยที่น่าสงสาร ต้องผจญในสายงานดั่งตกอยู่ในฝูงไฮยีน่า
ผู้เข้าชมรวม
52
ผู้เข้าชมเดือนนี้
5
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
จะด้วยอะไรก็ตามแต่
คุณทำให้ปุริมภัทรหมดความเชื่อมั่น ความตั้งใจ รวมถึงความร่าเริงที่เคยมี
มันหมดลงตั้งแต่พวกคุณพากันรุมสาดโคลนใส่ครั้งกระโน้น มาถึงคราวนี้พวกคุณยังจะให้ร้ายปุริมภัทรอีก
พวกคุณเองก็ได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์ แต่จำพวกไหนฉันเองก้อไม่แน่ใจ
แต่เท่าที่อ่านเจอจากไตรภูมิพระร่วง น่าจะเป็น มนุษย์เดรัจฉาน
สงสารแต่ปุริมภัทรที่ได้แต่นิ่ง เพราะทราบดีว่าหากกล่าวหรือเจรจาอะไรออกไป
คำพูดเหล่านั้นจะกลายเป็นดาบตวัดเข้ามาบั่นคอตัวเองทันที อนิจจา
ปุริมภัทรผู้น่าสงสาร นี่เธอกำลังอยู่ท่ามกลางฝูงพญาแร้ง
ผู้หิวกระหายความโสมมกระนั้นหรือ!!!!
ปุริมภัทรค่อยๆ
สูดลมหายใจเข้าปอดอย่างช้าๆ เพื่อให้รู้สึกผ่อนคลายกับแรงกดดัน
จากมนุษย์อ้วนหน้ากลมแป้น ใส่แว่น เวลายิ้มตาหยีจนมองไม่เห็นตาดำ สำรอกเสียงทักทายคนรอบกาย
และคิดเข้าข้างตัวเองเสมอว่าถูกตลอดเวลา สามัญสำนึกการรับผิดชอบชั่วดีต่ำมาก เงิน
คือ พระเจ้าชอบเห่าหอนแข่งกับหมีขาวยามที่ดรุณน้อยเข้าแถวยามเบิกอรุณ
ปุริมภัทรถอนใจเฮือก สลัดคราวเลวร้ายน่าขยะแขยงกับมนุษย์ผู้นี้ยิ่งนัก
มนุษย์ที่มีความเชื่อว่า ตนเองเป็นคนดีมีความรู้กองเท่าภูเขาเหล่ากา
แต่ไม่มีความอ่อนน้อมถ่อมตนสักนิด ไร้ซึ่งมนุษยธรรมความเอื้อเฟื้อ
ความเอื้ออารี!!! ปุริมภัทรเคยอ่านไตรภูมิ เมื่อสมัยเรียน มอปลายพอจะจำได้ลางๆ
ว่า คนทั้งหลายแบ่งได้เป็น 4 ชนิด คือ ผู้ที่ทำบาปฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เรียกว่า
"คนนรก" ส่วนผู้หาบุญจะกระทำบ่มิได้ เมื่อก่อนเป็นคนเข็ญใจยากจนนักหนา
อดยาก พวกนี้เรียกว่า "คนเปรต" ส่วนคนที่ไม่รู้จักบาปบุญ
ไม่มีความยำเกรงผู้ใหญ่ พวกนี้เรียกว่า "คนเดรัจฉาน"
และท้ายสุดคนที่รู้จักบาปและบุญ รู้จักคุณแก้ว 3 ประการ
เรียกว่า "มนุษย์"
แล้วไอ้มนุษย์ที่ปากมากชอบทำลายทำร้ายคนอื่นไม่ว่าจะเป็นวาจา
หรือท่าทางนี้ควรจะจัดเข้าประเภทไหนดี ปุริมภัทรคิดแล้วก้อยิ้มแห้งๆ ให้กับตัวเองเหมือนจะปลอบใจตัวเอง
แบบว่า เพี้ยง!! ขอให้ผ่านพ้นไปไวๆ ทีเถอะทำนองนั้น
มรสุมที่เธอเจอนี้มันไม่ได้แค่ก่อตัวแต่มันพัดกระหน่ำซ้ำแล้ว ซ้ำอีก
ลูกแล้วลูกเล่า ปุริมภัทรเคยนำเรื่องนี้ไปปรึกษารุ่นพี่คนนึง คำตอบที่ได้ คือ
เขาคงจะอิจฉาเธอนั่นแหละ ปุริม ก็แกเล่นเก่งไปซะทุกอย่าง
เป็นธรรมดาของสัตว์โลกที่ไม่ชอบให้ใครเขาเด่นเกินหน้าหรอกว่ะ แก
ปุริมภัทรพยักหน้าน้อยๆ "มันผิดด้วยหรอ ที่ฉันทำได้ในขณะที่เขาทำไม่ได้
แม่ง" เพื่อนรุ่นพี่ได้แต่ยิ้มแบบขำๆ "เออ มนุษย์โลกแม่งก็เป็นแบบนี้แหละว่ะ
ปุริม ยังไงก็สู้ๆ นะ" ปุริมภัทรยิ้มแหยๆ นึกในใจกูทำได้กูก็ผิด
แม่งนั่งขมิบตูดก็ยังผิด!!!!
เมื่อผ่านการชาร์ตพลังมาอย่างเต็มที่ ของวันใหม่
ปุริมภัทรทอดน่องก้าวช้าๆ พอพ้นธรณีประตูในใจพลางครุ่นคิด
"วันนี้เราจะเจออะไรอีก เพี้ยง!!ขออยู่แบบสงบๆ สักวันเหอะ"
เธอยืนสงบนิ่งไว้อาลัยให้กับตนเอง 1 นาทีแล้วรีบ สตาร์ทรถไปทำงานทันที ณ จุดหมายปลายทางมีเด็กๆ
นั่งรอเธออีกเป็นจำนวนไม่น้อย เด็กๆ รหญ้าเล็กๆโผล่แซมขึ้นมาให้เห็นความชุ่มชื้นในหัวใจ#
สู้ต่อไปนะ ปุริม!!!!
ปุริมภัทรสมัครเข้ามาทำงานที่นี่ได้ครึ่งปีแต่เหมือนตกอยู่ในห้วงของมหานทีสีทันดร
แหวกว่ายวนไปวนมากับเหตุการณ์เดิมๆ ซ้ำๆ ฟ้องนาย ขายเพื่อน
แทงข้างหลังสารพัดที่จะโดนทั้งๆ ที่ปุริมภัทรก็ไม่ได้โต้ตอบอะไรเพียงแค่บ่นบ้างตามประสาคนชอบคุย
แต่เห็นคุยเก่งแบบนี้ ปุริมภัทรกลับมีอีกมุม คือ โลกส่วนตัวสูง
ทั้งอาร์ตและติสต์เลยทีเดียว ในสายงานความสามารถของปุริมภัทรเธอไม่เป็นสองรองใคร
เธอทำได้แทบทุกอย่างทั้ง ICT และเอกสารขออย่างเดียว
ขอแค่มีตัวอย่างหรือไฟล์นำร่องเท่านั้น ปุริมภัทรจัดให้!!!
เหตุเกิดเพราะเจ้านายเรียกให้เธอไปเป็นเลขาหน้าห้อง ทำให้แจ่มสมรสาวงามแห่งออฟฟิต
นั่งค้อนประหลับประเหลือกจนตาแทบถลอนออกมานอกเบ้าหน้ามั่นๆ เลยทีเดียว
ปุริมภัทรจำวันที่เธอเก็บของบนโต๊ะไม่กี่ชิ้นเพื่อไปนั่งหน้าห้องเจ้านายได้ดี “ต๊าย
ตายจะไปไหนหรา หนูปุริม” เสียงป้าจรวยดังแทรกความเหงียบเข้ามาขณะเก็บโต๊ะ
“เอิ่ม..เจ้านายให้ไปนั่งหน้าห้องค่ะ” ป้าจรวย ยื่นหน้าเหี่ยวๆ
สอดส่ายสายตาอยากรู้อยากเห็นค้นหาความจริงทันที พอคล้อยหลังปุริมภัทรไม่กี่ก้าว
เสียงสนทนาก็ดังกระหึ่ม “นี่ๆ ใครไปว่าอะไรน้องใหม่หรือเปล่า นางเก็บของแจ้นไปเลย”
แจ่มสมรรีบตอบแทนทันควัน “ไม่มีนะ เจ้านายเขาให้ไปนั่งหน้าห้องอ่ะ ป้า”
ป้าจรวยค้อนขวับ “ฉันนึกว่า มีใครไปว่าอะไรเขา แค่นี้เอง ไปๆ ทำงานๆ”
แจ่มสมรชายตาค้อนตามหลังป้าจรวยเล็กๆ
เมื่อปุริมนั่งทำงานที่หน้าห้องของเจ้า
ปุริมภัทรได้รับเลือกให้ติดสอยห้อยตามทั้งประชุมดูงาน ศึกษางาน ตรวจสอบงาน
ออกแบบเกียรติบัตร ปุริมภัทรทำได้ดีในระดับหนึ่งทีเดียวจนเจ้านายออกปากชมว่า
“คนแบบนี้แหระ ที่ผมอยากได้มาทำงานด้วย คนทำงานจริงๆ” ปุริมภัทรยิ้มรับคำชม
“เจ้านายชมเกินไปค่ะ หนูก็ทำตามหน้าที่ ต้องขอบคุณเจ้านายที่ให้โอกาสนะค่ะ” เจ้านายยิ้มให้ด้วยความเอ็นดู
งานทุกชิ้นที่เจ้านายใช้ให้ทำ ปุริมภัทรใช้วิธีส่งให้เจ้านายในแชท ของ facebook
จึงทำให้เจ้านายจะอยู่ที่ใดก็ตามสามารถตรวจงานจากปุริมภัทรได้เสมอ
ยิ่งปุริมภัทรทำงานเก่งเพียงใด ยิ่งเป็นที่อิจฉาริษยาแก่ แจ่มสมร เฉลาศรี ไฉไล
มากขึ้นเท่านั้น แจ่มสมรเริ่มปฏิบัติการสกัดดาวรุ่งทันที โดยติดสินบนแก่ไวเกล
เพราะไวเกลเป็นเลขาหน้าห้องของเจ้านาย และนั่งตรงข้ามกับปุริมภัทร
ไวเกลคอยจับตาดูพฤติกรรมของปุริมภัทรตลอดเวลา แล้วคอยรายงานให้แจ่มสมรรับทราบ
วันหนึ่งเจ้านายเรียกปุริมภัทรเจ้าพบด่วน
ไวเกลมาบอกปุริมภัทรพร้อมทั้งยิ้มเยาะในที “ตายแน่แก โดนเจ้านายสวดยับแน่ 5555555”
ไวเกลหัวเราะเยาะในใจพลางเดินไปห้องด้านหลังรอฟังข่าว “ นั่งซิ ปุริม
พอดีผมได้ฟังข่าวไม่ค่อยดีมา เลยเรียกมาคุยกันเฉยๆ นะ ไม่มีอะไร
ปุริมฟังแล้วตัดสินใจเอาเองนะ ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อ คืองี้ มีคนมาบอกผมว่า
ปุริมไม่ค่อยให้ความร่วมมือในการทำงาน ชอบอ้างว่าผมให้ทำโน่น นี่ นั่น ตลอดเลย”
ปุริมภัทรตกใจมากกับสิ่งที่ได้ฟัง “ เอิ่ม เจ้านายค่ะ ปุริมขออธิบายนะค่ะ ถ้าพี่ๆ
ให้ปุริมช่วยงานปุริมก็ไปค่ะ
ในส่วนของเจ้านายถ้ายังค้างอยู่ก็จะมาทำให้เสร็จตามเวลาค่ะ”
เจ้านายพยักหน้ารับทราบ “ผมเข้าล่ะ มันก็ไม่มีอะไรนี่น่า เขาไปเอาที่ไหนมาพูดกัน
เอาเป็นว่า ผมเข้าใจนะ อ่ะปุริมไปทำงานได้” ปุริมภัทรถอนใจเฮือกอะไรว่ะ เนี่ย
“พี่ปุริม เจ้านายว่าไรมั่งอ่ะ” ไวเกลรีบมารอฟังข่าวทันที ปุริมภัทรยิ้มบางๆ
ก่อนตอบ “ไม่มีไรจ๊ะ แค่เตือน”
ไวเกลเบะปากทำท่าล้อเลียนลับหลังโดยที่ปุริมภัทรไม่มีโอกาสได้ล่วงรู้ได้เลยว่า
เธอได้อยู่ใกล้ๆ กับอสรพิษร้ายที่พร้อมจะชกกัดเธอได้ทุกเมื่อ เมื่อเธอก้าวพลาด
ไวเกลทำดีกับเธอทุกอย่างเพื่อคอยส่งข่าวให้กับแจ่มสมรแลกกับของฝากเล็กๆ น้อยๆ
โดยเฉพาะของกิน ไวเกลจะโปรดปรานและยอมศิโรราบทันที
เมื่อมีอาหารมาล่อไวเกลจะถวายหัวพลีกายเพื่อของกำนัลทันที ถ้อยความต่างๆ
จะพรั่งพรูแบบไม่มีขีดจำกัดออกจากทุกหลุมขุมทวารทันที อนิจจัง
อนิจจาไวเกลผู้เห็นแก่กิน อาหารอันโอชะอยู่เหนือจิตสำนึกถูกผิด
เพียงแค่อิ่มกายสบายท้องเท่านั้น แต่ผลพวงยิ่งใหญ่มโหฬาร
มีฤทธิ์ทำลายล้างเพื่อนมนุษย์คนหนึ่งอย่างไร้สามัญสำนึกเลยทีเดียว โอ้!! ไวเกล
อนิจจัง อนิจจา สามัญสำนึกเธอคงจะอยู่ลึกเกินไป จึงคิดได้แค่นั้น!!!
ปัญหาครั้งนี้ ปุริมภัทรรอดมาได้เพราะสติแท้ๆ
เชียว โดยเนื้อแท้ปุริมมีพื้นฐานของจิตใจที่ดี
ครอบครัวของเธอเป็นครอบครัวที่อบอุ่น แม้จะเป็นครอบครัวเล็กๆ
อยู่อย่างพอเพียงพอมีพอกิน
แม่ของเธอปลูกผักสวนครัวไว้ทานเองที่บ้านหากกินไม่หมดก็เก็บขาย
สร้างรายเลี้ยงตนเองอีกด้วย ปุริมภัทรเองนานๆ จะนำเงินเดือนไปให้แม่ครั้งนึง
เพราะปุริมภัทรเพิ่งทำงานนั่นเอง แม่จะบอกกับปุริมภัทรเสมอว่า
“หาเลี้ยงตัวเองให้พอกินนะลูก ไม่ต้องห่วงแม่ แม่อยู่บ้านนอกหาของกินง่าย
พืชผักบ้านเราก็เยอะแยะ” ปุริมภัทรยิ้มน้อยๆ กับแม่ “จ๊ะ
แม่ปุริมจะประหยัดใช้แต่พอเพียง อะไรที่ไม่จำเป็นก็จะไม่จ่ายจ๊ะ”
แม่ลูบหัวลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนเบาๆ “ดีแล้วลูกเอ๊ย!”
ปุริมภัทรนั่งเหม่อทอดสายตาไปเบื้องหน้าอย่างท้อใจ ถอนใจเฮือกใหญ่ให้ผ่อนคลาย
สูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆ
เหมือนจะซึมซับเอาพลังจากครอบครัวเพื่อกลับไปรบในที่ทำงานต่อก็ไม่ปาน
ถ้าเป็นเรื่องในสายงานปุริมภัทรไม่เคยย่อท้อเลยในตายซิ
แต่ที่ท้อมากมาย คือ
คนที่ต้องทำงานด้วยแจ่มสมรผู้ไม่เคยย่อท้อต่อการเอาใจใส่ต่อการไคล้เธอ วันๆ
นางจ้องจับผิดและยังคอยสอดส่องบอกกับเพื่อนของหล่อนให้จับตาดูปุริมภัทรอีก
ทั้งเข้ากับใครไม่ได้ ไม่เอางาน ไม่ทำงาน ไม่ช่วยสายงาน
โดยเฉพาะทำงานไม่เป็นไม่ถูก แจ่มสมรช่างสรรสร้างปั้นแต่งเป็นอย่างดี
ดูแล้วแจ่มสมรเธอมีความสามารถในการสอดส่องและสอดแทรกกับเรื่องของผู้อื่นได้เป็นอย่างดี
รู้ทุกเรื่อง รู้ลึก แต่ในสายงานหรือในหน้าที่ของตนเองนางจะไม่ค่อยรู้เท่าที่ควร
นี่ละหนามนุษย์สอด “ช่วงนี้ ปุริมมันร่าเริงจริงนะ ไฉไล ฉันละสงสัยจริง
นางมีดีอะไร” ไฉไลยิ้มเหยียด “คนพรรค์นั้น กระแดะไปวันแค่นั้น แหละแก”
ไฉไลรีบผสมโรง เฉลาศรีเผยอปากเชิดๆ สำทับอีกว่า “มันจะร่าเริงได้สักกี่น้ำ
ฉันได้ข่าวมาว่า เจ้านายเข้าจะย้ายไปที่สาขาอื่นแล้วนะ แก” แจ่มสมรตายวาวทันที
“555555 ตกกระป๋องเหอะ นับปุริม คราวนี้ถึงทีของพวกเราแล้วแหละ เน๊อะ” เฉลาศรี
ค้อนขวับทำตาประหลับแระเหลือกตอบ “จัดให้หนักเลย”
แล้วทั้งสามก็หัวเราะประสานเสียงดังลั่นเลยทีเดียว เออเนาะ!!!
มนุษย์ทำไมไม่ใส่ใจกับงานหรือหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด ชอบสนใจในเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตนเอง
นี่ละหนา!!มนุษย์
และแล้ววันเวลาที่พวกแจ่มสมรรอคอยก็มาถึง
เมื่อเจ้านายต้องโยกย้ายไปรับตำแหน่งใหม่ยังดินแดนอันไกลโพ้น
ก่อนที่เจ้านายจะย้ายเจ้านายได้เรียกให้ปุริมภัทรเข้าไปพบ “ปุริม ผมจะไปละนะ ผมรู้ว่า
ปุริมเป็นคนตั้งใจทำงาน ขยัน ตรงเนี่ยเป็นสิ่งที่ดี” ปุริมภัทรยิ้มแห้ง
น้ำตารื้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ “แต่คนดี คนทำงานก็สู้คนใช้ปากไม่ได้นะค่ะ
หนูอดทนทำงาน เอาความดีเข้าสู้ แต่ถ้าเจ้านายยังอยู่หนูก็ปลอดภัย
แต่นี่เจ้านายจะไปแล้วหนูคงตายแน่ๆ เขาไม่เอาหนูไว้แน่ๆ”
คราวนี้น้ำตาพรั่งพรูเลยทีเดียว “เอาน่า เธอเป็นคนเก่งเธอทำได้อยู่แล้ว สู้ๆ นะ
ปุริม” ปุริมสะอื้นฮักๆ อย่างสุดกลั้น
เจ้านายนิ่งไปชั่วขณะก็นั่นแหละคนเราใครจะมากางปีกปกป้องได้ตลอดเวลา
เจ้านายก็เช่นกันเมื่อถึงคราวเขาก็ก้าวต่อไปสู่เส้นทางแห่งอนาคต หาได้กลับชายตามองคนข้างหลังไม่
หนึ่งคำที่แนะนำก่อนไปคือ “ผมพาปุริม ไปหาบอสใหญ่ดีมั้ย ไปคุยถึงปัญหานี้กัน”
ปุริมภัรส่ายหน้าเพราะรู้ดีว่า อะไรจะเกิดขึ้นหากเข้าพบนายใหญ่ เจ้านายถอนใจเบาๆ
“แล้วเราจะเอาไงต่อ” ปุริมภัทรแหงนหน้ามอง “คงต้องพิสูจน์ด้วยความสามารถค่ะ ทำให้เขาเห็นว่าเราทำงานในหน้าที่ไม่ได้บกพร่อง
ถ้าเข้าไปพูดก็เหมือนแก้ตัว ไม่มีประโยชน์” เจ้านายพยักหน้าเข้าใจ
ก่อนที่เจ้านายจะเดินทางย้ายที่ทำงานใหม่
ปุริมภัทรอ่านหนังสือพบว่ามีเปิดสอบโยกย้ายสายงานได้
ปุริมภัทรจึงทำบันทึกข้อความยื่นต่อนายใหญ่เพื่อขอสอบทันที
แต่เจ้ากรรมนายใหญ่ติดธุระ กว่าจะเซ็นอนุมัติก็เย็นมากแล้ว
ในขณะที่เซ็นนายใหญ่ถามขึ้นว่า “หนูทำไมจะสอบใหม่ผ่านโปรแล้วรึ” ปุริมภัทรค่อยๆ
ตอบอย่างระมัดระวังคำพูด “ผ่านแล้วค่ะ” นายใหญ่ยังคงย้ำคำถามเดิม
“หนูไม่สบายใจอะไรรึเปล่า บอกนายใหญ่ได้นะ นายใหญ่เป็นคนเมตตาสูงนะ”
ปุริมภัทรอมยิ้มก่อนที่จะตอบว่า “นิดหน่อยค่ะ แต่หนูไม่อยากพูด”
นายใหญ่ยังคงถามย้ำ “มีอะไรก็บอกนายใหญ่ได้นะ หนูต้องมีเรื่องไม่สบายใจมากๆ แน่เลย
พอจะบอกนายใหญ่ได้มั้ยลูก” ปุริมภัทรนิ่งอย่างชั่งใจก่อนที่จะเอเผยออกไปว่า
“หนูไม่สบายใจกับคำกล่าวหาค่ะ ทั้งเรื่องสายงานและการนั่งในห้องทำงานค่ะ
อย่างตรงที่หนูมานั่งเพราะเจ้านายให้หนูมานั่งเพื่อให้ได้งาน
แต่กลับถูกว่าอีกอย่าง นายใหญ่ค่ะหนูคิดว่าคนเราถ้าทำงานจะอยู่มุมไหน
ส่วนไหนของที่ทำงานมันก็ทำงานได้จริงมั้ยค่ะ” ปุริมภัทรกลุเโพร่งออกไปอย่างเหลืออด
นายใหญ่กลับตอบมาว่า “หนูนั่งที่สายงานวันหนึ่งกี่ชั่วโมง หนูรู้จักน้องกลอยมั้ย
นั่นเขาก็ต้องมานั่งทำงานด้านล่างเหมือนกัน แต่เขาก็ไปนั่งที่สายงานด้วยนะ”
ปุริมภัทรกลืนน้ำลายเอื้อกลงคอทันที แสดงว่านายใหญ่รับรู้เรื่องมาบ้างแล้ว
แล้วแบบนี้เราจะพูดอะไรไปมันคงไม่มีน้ำหนักใช่มั้ย เฮ้อ!! นายใหญ่ยังพูดต่ออีกว่า
“หนูก็เป็นผู้ใหญ่เนาะ” ปุริมภัทรตอบทันควัน “ใช่ค่ะ
หนูเป็นผู้ใหญ่หนูถึงเงียบไงค่ะ” นายใหญ่ยังถามอีกว่า “จะสอบแน่ใช่มั้ย
ถ้าสอบไม่ได้จะอายเขานะ” คราวนี้ปุริมภัทรเลือดขึ้นหน้า ตอบทันควัน “หนูไม่อายค่ะ
ถึงสอบไม่ได้หนูก็ยังมีงานทำ เพราะฉะนั้นหนูไม่อาย” เอากะเธอซิ
บทจะดื้อเธอก็ดื้อหัวชนฝาเลยทีเดียว ปุริมภัทร!!!!
วันพรุ่งรุ่งอรุณเบิกฟ้า
ปุริมภัทรรีบไปโรงพยาบาลขอใบรับรองแพทย์เพื่อนำไปสอบโยกย้ายทันที
คนไข้เยอะมากจนเธอต้องรวบรวมความกล้าเอ่ยปากบอกพี่พยาบาลคนสวยว่า “เอิ่ม...พี่ค่ะ
คือว่าหนูจะขอใบรับรองแพทย์เพื่อไปสอบย้ายอ่ะค่ะ ต้องทำอย่างไรบ้างค่ะ”
พยาบาลยิ้มพร้อมกับแนะนำว่า “ อ๋อ! มานี่จ๊ะหนูเดี๋ยวพี่ยื่นเรื่องให้
หนูไปจ่ายตังค์ที่ช่องโน้นเลยจ๊ะ” ปุริมภัทรยิ้มพรายอย่างมีความสุข
ไม่นานนักพี่พยาบาลคนสวยก็เรียกชื่อ ปุริมภัทรให้เข้าพบแพทย์ได้
“คนไข้จะเอาใบรับรองแพทย์ไปทำไมอ่ะ” ปุริมภัทรรีบตอบ “สมัครสอบโยกย้ายสายงานค่ะ
อยากกลับบ้านค่ะ” แพทย์สาวมาดทอมบอยพยักหน้ารับรู้ เซ็นยิกๆ
แล้วส่งให้พยาบาลคนเก่า “เรียบร้อยแล้วจ๊ะ”
ปุริมภัทรยิ้มรับใบรับรองแพทย์รีบเดินตัวปลิวมาที่รถขับตะบึงออกนอกเขตโรงพยาบาลทันที
ไม่เกิน 2 ชั่วโมงก็มาถึงที่หมายปุริมภัทรรีบเขียนใบสมัครกรอกข้อมูลต่างๆ
จนครบถ้วนให้เจ้าหน้าที่ตรวจเอกสาร พับผ่า!ดิ
เจ้าหน้าที่ดันรู้จักกับเธออีกจึงมีเรื่องอันต้องเม้ามอยกันเป็นครู่ใหญ่ทีเดียว “
ปุริม แกมาสอบอะไรเนี่ย” ปุริมภัทรตอบแบบเอาฮา “สอบโยกย้ายถ่ายเทพี่”
รุ่นพี่หัวเราะขำในความทะเล้นของปุริมภัทร “เออ เข้าท่าขอให้สอบได้นะแก
พี่เอาใจช่วย” ปุริมภัทรหัวเราะ “5555555 สมพรปากพี่”
เมื่อถึงคราวสอบปุริมภัทรก็มาเข้าสอบเหมือนคนอื่นทั่วไป
ข้อสอบพอทำได้และได้ทำ ซึ่งมันก็ยากพอสมควรสำหรับปุริมภัทร
เพราะไม่ได้แตะหนังสือเลย
ถ้าสอบไม่ได้ก็ไม่เสียใจอยู่แล้วเพราะยังไงเธอก็ยังมีงานทำอยู่ตามปกติ
ไม่ได้ลาออกจากงานเดิม
พอถึงเวลาประกาศผลสอบถึงจะหวังไม่มากแต่ปุริมภัทรก็แอบหวังเล็กๆ ที่จะผ่าน
แต่ผลประกาศออกมาเธอไม่ผ่านเกณฑ์เป็นเหตุให้ปุริมภัทรบ่อน้ำตาแตกทันที
ขนาดแค่แอบหวังเล็กๆ นะ ยังรู้สึกแย่ขนาดนี้
ในยามนี้ปุริมภัทรรู้สึกอ้างว้างและโดดเดี่ยวเป็นที่สุด หนาวเหน็บถึงก้นบึ้งหัวใจ
เธอโทรหาแม่พร้อมเสียงสะอื้นฮักๆ น้ำตาที่หลั่งไหลอย่างพรั่งพรู
เหมือนเขื่อนถูกทำลายน้ำตาที่ไม่เคยหยาดหยดกับร่วงแหมะๆ อย่างสุดจะกลั้น
มีเพียงแม่เท่านั้นที่ปลอบประโลม “ปุริมอย่าเสียใจ อย่าร้องไห้
นะลูกหนูยังมีงานทำนะจ๊ะ แม่เป็นกำลังใจให้นะ ไม่ร้องนะ ไม่ร้อง สู้ๆ นะลูก”
ปุริมภัทรสะอื้นฮักๆ “ จ๊ะแม่ หนูจะไม่ร้องแต่หนูก็หวัง ฮือๆๆๆ” แม่รีบปลอบว่า
“ไม่ต้องหวังซิลูก จะหวังทำไมลูก หนูมีงานอยู่แล้วนะ หนูไม่ต้องเสียใจนะลูก เชื่อแม่นะ
พักผ่อนนะลูก” ปุริมภัทรรับคำจากแม่แต่ก็ยังสะอื้นไห้ไม่หยุด “หนูพยายามแล้วแม่
หนูพยายามแล้ว แต่...แต่..มันอดไม่ได้ ฮือๆๆ” ปุริมภัทรเอ๋ย
โลกนี้ไม่เคยมีอะไรที่ได้มาโดยง่ายเลยนะ จงอดทนอดกลั้นกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้
เช้าวันใหม่อาทิตย์อุทัยสาดส่องแสงแยงนัยน์ตา
เป็นสัญญาณที่ต้องเดินทางผจญภัยในอีกวัน
ปุริมภัทรสะดุ้งตื่นงัวเงียเพราะเสียงปลุกจากโทรศัพท์คู่กาย
ปุริมภัทรชันตัวขึ้นช้าๆ จากที่นอนบิดตัวไปมาไล่ความขี้เกียจ ต้องไปทำงานอีกแล้ว
เข้าสู่สนามลบอีกแล้วซินะ ปุริมผู้น่าสงสาร ปุริมภัทรค่อยๆ
หยิบผ้าเช็ดตัวอย่างเนือยๆ ก้าวเดินเนิบๆ เข้าห้องน้ำไป
เมื่อมาถึงที่ทำงานทุกคนก็ทักทายกันตามปกติ ในขณะที่จะก้าวผ่านหน้าของเฉลาศรี
ปุริมภัทรก็สะดุดกับเสียง “เฮ้อ!! น้องจูสอบไม่ติดก็ไม่เป็นไรนะ
แต่....คนบางคนบอกว่าทำได้แต่สอบไม่ติดนี่ซิ”
ปุริมภัทรสะกดกลั้นอารมณ์ที่พุ่งพล่านรีบเดินให้พ้นตรงนั้นทันที
พลางคิดรู้ข่าวไวจริงๆ นะ คนอะไรจมูกไวยิ่งกว่าไฮยีน่าซะอีก ตกลงมันมาเป็นส่วนไหนของชีวิตเราว่ะ
หรือเกาะติดขอบรองเท้าข้างขวาถึงรู้ดีทุกเรื่อง เออ!!เนาะหน้าที่การไม่รู้
แต่รู้เรื่องคนอื่นทุกซอกทุกมุม ประเทศไทยจงเจริญ
เหตุการณ์นี้มันไม่จบแค่นั้นยังคงมีเรื่องราวต่อมาเป็นระลอกเรื่อยๆ
ปุริมภัทรนับเลขแล้วนับเลขอีกนับเกือบถึงพันล่ะ สมาธิ สติ อดทน
อดทนกับผู้ที่ได้ชื่อว่า มนุษย์ผู้มีความรู้ ผู้เป็นสัตว์ประเสริฐ ผู้ที่มีร่างกายตั้งทำมุม
90 องศากับพื้นดิน ผู้ที่ได้ชื่อว่าเจริญแล้ว
บางครั้งก็อยากจะขอบคุณที่ทำให้คนรู้จักปุริมภัทรโดยไม่ต้องแนะนำตนเอง
สหายของแจ่มสมรและตัวของแจ่มสมรได้ช่วยกันโปรโมทคุณภาพของเธอได้อย่างคับแก้วเลยทีเดียว
ปุริมภัทรอยากจะขอบคุณทุกๆ คนเลยนะ
เมื่อถึงเทศการปิดไตรมาสการทำงาน
เจ้านายใหญ่ได้จัดกิจกรรมผักผ่อนให้กับทุกๆ
คนเพื่อเป็นการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในสายงาน
เจ้านายใหญ่ให้ฝ่ายอาคารสถานที่จัดหาสถานที่ท่องเที่ยวและพักผ่อน กำหนดวันเดินทางให้เรียบร้อยเพื่อให้สะดวกต่อการเดินทางของทุกคน
“ปุริมเอ๊ย หนูนั่งรถคันไหนลูก นั่งคันเดียวกะป้ามั้ย” ปุริมภัทรยิ้มจนตาหยี
“นั่งค่ะ ป้าจี๊ดแต่ชื่อหนูอยู่คันที่ 2” ป้าจี๊ดยิ้มตอบ “ไม่เป็นไรลูก
แจ้งเปลี่ยนกับคนเช็คเลยลูก” ปุริมภัทรรีบทำตามทันที “ดีใจจังค่ะ
ที่ได้นั่งกะป้าจี๊ด” ป้าจี๊ดหัวเราะเบาๆ อย่างเอ็นดู “ ไปนั่งคันอื่นเหงาแย่เลย
มานั่งด้วยกันนี่แหละ”
ปุริมภัทรค่อนข้างสนิทกับป้าจี๊ดเพราะว่ามีเพียงป้าจี๊ดที่เข้าใจและให้ความเอ็นดูต่อปุริมภัทรเสมอมา
“กินอะไรหรือยัง หนู ป้ามีข้าวเหนียวหมูนะ กินมั้ย” ปุริมภัทรพนมมือไหว้
“ขอบคุณค่ะ กินค่ะ กำลังหิวพอดีเลยค่ะ” ป้าจี๊ดหัวเราะขำ “เหรอ
งั้นกินเลยลูกป้ามีหลายห่อ” ปุริมภัทรนั่งกินข้าวเหนียวหมูอย่างเอร็ดอร่อย
พอหนังท้องตึง หนังตาก็เริ่มหย่อนปุริมภัทรเผลองีบไปพักใหญ่เลยทีเดียว
ไม่นานรถก็วิ่งเข้าเขตจังกวัดกาญจนบุรี วิ่งตรงไปยังที่พักคือ บ้านริมแพ แควริมน้ำ
บรรยากาศที่นี่สวยงามและอบอวลไปด้วยธรรมชาติ ข้างๆ ที่พักมองเห็นทางรถไฟอีกด้วย
กลางคืนมีกิจกรรมที่ห้องอาหารใหญ่ ทานอาหาร ร้องเพลงตามอัธยาศัย
และปิดท้ายด้วยการกล่าวคำลากับผู้ที่เกษียนงานในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
ปุริมภัทรได้มีส่วนร่วมในการทำ MV เพลงไม่เคย
ให้แก่ผู้เกษียนด้วย ซึ่งเป็นงานถนัดของเธอเลยทีเดียว แต่กลับไม่มีใครนึกถึงคนจัดทำเลยสักนิด
ปุริมภัทรก็ยิ้มเพราะเธอ คือ ผู้อยู่เบื้องหลัง mv นั้น
บางคนก็พูดว่า “เพลงนี้ไม่เหมาะเนาะ มันเป็นเพลงที่ความหมายไม่ค่อยดีอ่ะ” ก็แปลกดี
มือไม่ทำยังพูดไม่สร้างสรรอีก มันไม่ใช่ความหมายไม่ดี แต่มันอยู่ที่คนฟังมากกว่า
“ก็ไม่รู้แต่ปุริม ว่ามันเพราะดีค่ะ” ปุริมภัทรตอบยิ้มๆ
นั่นเป็นสังคมในวงการทำงานของปุริมภัทรที่ต้องผจญตลอดเวลา แต่อีกด้านของปุริมภัทรคือ คนสนิทในยามยาก โจ
เป็นเพื่อนสนิทคนเดียวที่ปุริมภัทรมี บ่อยครั้งที่ปุริมภัทรจะนำเรื่องราวต่างๆ
ไปปรึกษาหารืออยู่บ่อยๆ
บางครั้งโจฟังจนเกือบจะเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย “โจ ฉันเหนื่อยอ่ะแก
เหนื่อยมากกกกกก” โจถามต่อเพราะรู้ว่าปุริมภัทรอยากเล่า “เหนื่อยคน
หรือเหนื่อยงานล่ะ” ปุริมภัทรรีบเล่าทันที “เหนื่อยคนอ่ะดิแก เหนื่อยมากอ่ะ
มีเรื่องตลอดแทบทุกวัน บอกตามตรงฉันปวดหัวอ่ะ” โจหัวเราะ หึ หึ ในลำคอ
“เอาน่าคิดซะว่า อย่างน้อยก็มีบางวันที่ไม่โดน” ปุริมภัทรค้อนให้นิดหนึ่ง “แหม
แกก็พูดได้ดิ แกไม่โดนแบบฉันนิ เช๊อะ!!ไม่น่าปรึกษาแกเลยอ่ะ ชิ” โจขำกร๊ากกกก
“นี่ยัยยุ่ง ฉันแค่อยากให้เธอไม่ต้องเครียดมากกับเรื่องนี้ ยังไงๆ
ฉันก็อยู่ข้างแกตลอดแหละ” ปุริมภัทรยิ้มบางๆ “ขอบใจนะแก
ที่รับฟังทุกเรื่องแต่ละเรื่องล้วนมีแต่ปัญหา
แต่แกก็ยังรับฟังแถมช่วยคิดแก้ไขอีกตะหาก ขอบใจมากๆ นะ”
ปุริมภัทรพูดออกมาจากใจจริง โจอยากตอบออกไปเหลือเกิน เพราะฉันชอบเธอไง ยัยยุ่ง
ยัยบ๊อง คนที่แกขอคำปรึกษาอยู่ทุกวันนี่แหละ “เออ ไม่เป็นไรหรอกฉันชอบฟัง
รู้สึกเหมือนมีคนมาเล่านิทานให้ฟังอ่ะ เพลินดี 555555” ปุริมภัทรหน้าเหรอ
“อ้าวไอ้บ้า แกว่าฉันเหรอ ห๊ะ!!”
พูดไม่ทันจบคำปุริมภัทรก็ตีเพี๊ยะที่ต้นแขนของโจทันที “อ้าว ฉันพูดผิดตรงไหนเนี่ย”
ปุริมภัทรกลับหัวเราะ เสียงดัง “ไม่ผิดไง เลยโดนตี 5555” โจขำบ้างเพราะรู้ดีว่า
ปุริมภัทรรู้สึกดีบ้างแล้ว “ปุริมฉันขอออกความคิดหน่อยมั้ย
ถ้าแกไม่โกรธฉันแกเล่ามาฉันก้อฟังมานานฉันอยากรู้ว่า ทำไมเขาจงใจรังแก แกนักอ่ะ”
ปุริมภัทรพยายามคิดหาสาเหตุตามคำพูดของโจ นั่นดิเขามาจ้องเราทำไม?? มีอะไร!!
มันน่าคิดเนาะ
ปุริมภัทรคิดไปคิดมาอยู่หลายวัน
หลายตลบ
ก็คิดไม่ออกว่าตนเองไปทำอะไรให้เขาจงเกลียดจงชังยิ่งนักเมื่อไม่บรรลุผลจึงได้นำเรื่องนี้ไปปรึกษาผู้อาวุโสหลายๆ
ท่านและเล่าเรื่องอย่างละเอียดด้วย ทุกคนก็ งง และสรุปออกมาว่า ถ้าไม่อิจฉา
เธอก็ต้องมีดีที่ไม่เหมือนพวกเขาแน่นอน ปุริมภัทรทำคาปริบๆ
“หนูก็ไม่ได้เก่งอะไรเลยนะค่ะ ทำงานปกติ” ผู้ใหญ่ยิ้มเอ็นดู
“คนเราคิดไม่เหมือนกันนะ ปุริม สิ่งที่หนูมันพิเศษกว่าเขาหลายๆ อย่าง
เธอคนเดียวทำได้ตั้งหลายอย่าง คอมก็ทำได้ เอกสารก็คล่อง ออกแบก็ทำได้”
ปุริมภัทรยิ้มเจื่อนๆ “คนอื่นก็ทำได้ค่ะ แบบหนูบางคนทำเก่งกว่าหนูอีกนะค่ะ”
ผู้ใหญ่จึงตอบแบบผู้ใหญ่ว่า “การที่หนูนิ่งเนี่ย มันสื่ิอได้หลายอย่าง
ถ้ามองแบบผู้ใหญ่ต้องมองว่า ทำไมหนูจึงนิ่งได้ขนาดนี้ ไม่โต้ตอบเลย
ไม่ใช่มาพูดกับหนูอีกอย่าง หนูเก่งนะที่นิ่งได้ขนาดนี้ทั้งๆ
เรื่องที่เจอไม่น่านิ่งเลย หนูเก่งมากปุริม” ปุริมภัทรยิ้มบางๆ รับคำชม “ขอบคุณค่ะ
ที่ให้คำแนะนำหนู” วันหนึ่งความจริงบางอย่างก็เริ่มกระจ่างขึ้น
เมื่อมีคนมาเล่าให้ปุริมภัทรฟังว่า “ปุริม เจ้านายคนที่เอาเธอมานั่งหน้าห้อง
เขาบอกกับแม่แจ่มสมรว่า ไม่ได้ชวนเธอมานั่งนะจ๊ะ” ปุริมภัทรหน้าเจื่อน
“อ้าวทำไมล่ะค่ะ ใครบอกพี่ค่ะ พี่แต” กระแตสาวใหญ่ของที่ทำงาน รีบจีบปากจีบคอเจรจา
“ก็แม่แจ่มสมรเขามาพูดป่าวๆ ในห้องนี้ตอนหนูออกไปกินข้าว” กระแตสาวใหญ่รีบสาธยาย
“อ้าว แบบนี้หนูก็แย่อ่ะดิ พี่แตทำไมเขาทำกับหนูแบบนี้ละค่ะ
หนูทุ่มเททำงานให้เขาทุกอย่าง สรุปงาน ออกแบบเกียรติบัตร ออกแบบบันทึกเอกสาร
นี่คือสิ่งที่เขาตอบการตั้งใจทำงานของหนูแบบนี้หรือค่ะ”
ปุริมภัทรเสียใจแต่ไม่มีน้ำตาจะไหล คนเราสมัยนี้เขาเป็นกันแบบนี้ใช่มั้ย
ทำไมทิ้งขี้ใส่กันแบบนี้ ไม่ช่วยเหลือแล้วยังทิ้งทุ่นระเบิดเอาไว้ให้อีก
“อย่าเสียใจเลยนะ ปุริม
พี่ว่านี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แจ่มสมรเขาว่าหนูลับหลังแบบเสียๆ หายๆ”
ปุริมภัทรได้แต่พยักหน้า เพราะเขาก็ย้ายไปแล้วเธอจะทวงความยุติธรรมได้อย่างไร
“แต่เจ้านายเขาก็ไม่น่าทำแบบนี้นะ พี่เห็นใจเธอนะ ปุริม” ปุริมภัทรยิ้มเศร้าๆ
“หนูไม่เคยคิดเลยว่า เขาจะทำกับหนูแบบนี้ เขาเป็นคนเรียกหนูไปบอกตลอดว่า
มีคนคิดไม่ดีกะหนูและถามว่าหนูมานั่งทำไมตรงนี้ มีหน้าที่อะไร
ทำไมไม่ให้ไปนั่งรวมกับพวกเขา” ปุริมภัทรพูดไปสะท้อนในอกไป
“ทำไมเรื่องถึงกลับตาลปัตรได้ขนาดนี้ มีความจริงกันบ้างมั้ย
สรุปแล้วหลอกใช้หนูรึยังไง พี่แตหนูเสียใจค่ะ หนูนี้โง่จริงๆ
หลงไว้ใจทุ่มเททำงานอย่างถวายหัวสุดท้าย หนูไม่มีแม้แต่เงาหัวของตัวเอง”
กระแตตบไหล่เป็นเชิงปลอบเบาๆ “เออ เนาะคนเราเป็นได้ขนาดนี้เชียวสู้ๆ นะ ปุริม
แบบนี้ก็เท่ากับว่าศัตรูแกรอบทิศเลยนะ ทั้งที่ไม่ได้สร้าง และมาแบบเครือข่ายก็มี
ฉันไม่รู้จะร้องอะไรเลย”
กระแตพยายามปลอบแต่ยามนี้หัวใจของปุริมภัทรห่อเหี่ยวเหลือเกิน
ถ้ามองอีกด้านในอีกมุมหนึ่ง
ปุริมภัทรมีเพื่อนร่วมงานเก่าที่น่ารักคอยสอนให้เธอให้อภัย อย่าผูกพยาบาทคนเหล่านั้นจิตใจสู้ส่งกว่าคนที่นี่มากมายนัก
คนที่นี่ใจคอคับแคบไม่มองที่เจตนาของการกระทำ แต่มองแค่เปลือกของชีวิตบุคลิกภายนอก
แล้วเหมาเอาว่า คนนั้นต้องเป็นแบบนี้ คนนี้ต้องเป็นแบบนั้น แล้วมาสรุปว่าตนเอง
ถูกต้องอยู่เหนือใครๆ ปุริมภัทรยังจำได้ดีเมื่อครั้งนั่งทำงานใกล้ๆ แจ่มสมร
ด้วยความมีน้ำใจเห็นว่าเป็นพี่คนหนึ่งทำงานหนักและเยอะ “พี่ค่ะ
มีไรให้ปุริมช่วยมั้ยค่ะ” แต่คำตอบที่ปุริมภัทรได้กลับมาก็คือ
“น้องทำไม่ได้หรอกค่ะ นี่มันเป็นงานของหัวหน้าจ๊ะ” ปุริมภัทรได้แต่ทำหน้าเจื่อนๆ
เดินกลับไปนั่งที่เดิม “แค่อยากช่วยเอง เฮ้อ!” ขนาดทำงานยังมีแบ่งชนชั้นวรรณะกัน นี่มันประเทศไทยป่ะว่ะ!!
สมัยนี้เขายังมียศฐาบรรดาศักดิ์กันอีกหรือว่ะ????
นับตั้งแต่นั้นมาปุริมภัทรก็ไม่เคยยุ่งกับแจ่มสมรอีกเลย
แต่เรื่องไม่เคยที่จะจบลงแค่นั้น เมื่อมีการประเมินบริษัทครั้งใหญ่
เพราะบริษัทนี้เป็นบริษัทลูกดังนั้นจึงต้องได้รับการตรวจสอบจากบริษัทใหญ่อีกที
แจ่มสมรได้ไหว้วานให้ปุริมภัทรช่วยทำแบบบันทึกการพัฒนาบุคลากร
ปุริมภัทรเก็บรวบรวมข้อมูลการเข้าอบรมของเจ้าหน้าที่ในแผนกตามที่ แจ่มสมรสั่งแต่ก็มีพนักงานบางคนที่ไม่พิมพ์วิธีการเผยแพร่งานจากที่อบรมในแต่ละครั้งให้พนักงานคนอื่นรับทราบเพื่อเป็นแนวปฏิบัติปรากฏว่ามีบางคนที่ไม่เขียนมาให้ปุริมภัทรพิมพ์
ตกเย็นนั้นแจ่มสมรได้โทหาปุริมภัทรเพื่อถามเธอ เธอจึงตอบไปว่า “เหลืออีก 3
คนค่ะ” เสียงแจ่มสมรถามมาตามสาย “เหลือใครอีกอ่ะ ปุริม
นี้เธอไม่ต้องพิมพ์ให้ทุกคนก็ได้นะ เดี๋ยวจะเคยตัวกัน” ปุริมภัทรจึงตอบไปว่า
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวปุริมพิมพ์ให้ก็ได้ค่ะ” แจ่มสมรก็ถามอีกว่า
“แล้วเหลือใครที่ไม่ได้เขียนเผยแพร่อ่ะ ปุริม” ปุริมภัทรตอบไปตามความเป็นจริงทันที
“เหลือพี่ไฉไล พี่เฉลาศรีและป้าเบลล์ค่ะ”
เรื่องของปุริมภัทรยังไม่จบนะค่ะ
ยังมีตอนต่อไปติดตามอ่านกันได้นะค่ะ...วายร้าย..ในสายงาน
ผลงานอื่นๆ ของ ตวันหลง ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ตวันหลง
ความคิดเห็น